วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เฮฮา กุ๊บกิ๊บ intro-trip สระบุรี

ไปเที่ยวกันไหมคะ ? :)


วันนี้จะชวนไปแสวงหาตำนานกันค่ะ อย่าเพิ่งได้คิดไปว่าจะไปหาเรื่องเล่าซ่อนเร้นอะไรทำนองนั้น
จะดูเสียระดับมาก ตำนานที่ว่านี้นั่นคือ


                                                   บ้านเขาแก้วที่นี่นั่นเอง

เพียงแค่คุณผ่านซุ้มทะลุมิติเท่านั้นคุณจะพบกับ...




นี่เราเข้ามาอยู่ที่ใดกันคะเจ้าคุณพี่...

ที่นี่เป็นหมู่เรือนไทยของท่านอาจารย์ทรงชัยค่ะ เป็นเรือนไทยที่ทรงเสน่ห์มากกกกกก
เพราะนอกจากความเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีที่ตั้งอยู่ที่อำเภอเสาไห้ สระบุรีแล้ว ยังเป็นที่รวบรวมของมีตำนานอย่างเช่น


เรือนไม้อายุกว่าร้อยปี อยู่ยงคงกระพัน ของเค้าขลังจริงๆ


และอย่าได้คิดว่าที่นี่เป็นเรือนไทยไก่กาธรรมดานะคะ นอกจากจะเก็บข้าวของเก่าอยู่ยงคงกระพันถึงเพียงนี้แล้ว ที่นี่ยังเก็บรักษาคุณค่าของอดีตซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมไว้มากมาย เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีไว้สืบทอดต่อลูกหลานด้วยค่ะ

 ชาวไทยจริงๆแล้วเราเป็นพวก naturalism ค่ะ อยู่กับธรรมชาติ
ใช้ชีวิตอย่างมีกินมีใช้ อยากได้น้ำก็ขุดคลองรอบบ้านสิคะ ได้น้ำทั้งคน สัตว์ ต้นไม้ อะไรจะใจดีขนาดนั้น
อยากมีกินเราก็ปลูกพืชผัก ไม้ผล ไม้ดอกนอกจากจะอิ่มท้องแล้วเรายังมีร่มเงาเอาไว้นั่งผึ่งพุงตอนอิ่มด้วยนะคะ


จริงๆเดิมที่แถบนี้เป็นท้องนาค่ะ เราก็เลือกมาตั้งเรือนในที่ที่ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์เช่นนี้ ในน้ำมีปลา(ทางด้านหลังเรือนมีจริงค่ะ ตัวใหญ่มาก เปรี้ยวปาก ) ในนายังจะมีข้าว ลานดินจริงๆ เป็นเอกลักษณ์ของวิถีชีวิตชาวไทยค่ะ นอกจะจะสามารถวิ่งเล่นเฮฮาเท้าเปล่าได้แล้ว ยังเป็นลานตากข้าวได้อีกด้วย พอฝนตกลานดินนี่ก็คือที่รับน้ำขนาดใหญ่ ส่งผลให้พื้นที่ของเรามีความอุดมสมบูรณ์ประกอบกับธรรมชาติที่มีอยู่เดิม ทำให้เรือนของเรานี้อยู่สบายเพลิดเพลินจริงๆค่ะ

แต่ แต่ แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านี้นะคะ

เราจะพาคุณเข้าสู่ห้วงเวลาแห่งอดีตที่อยู่ด้านใน










เรือนไทยจริงๆแล้วถึงแม้ว่าจะเป็นเรือนเดี่ยว แต่การจัดผังในสมัยก่อนนั้น เราจะจัดรวมกันเป็นหมู่ค่ะ
แยกกันตามประโยชน์ใช้สอยเป็นเรือนๆไป อย่างเช่นหมู่เรือนไทยภาคกลางนี้ นอกจากใต้ถุนจะมีประโยชน์สำหรับเลี้ยงสัตว์แล้ว ยังสามารถระบายอากาศ ให้ลมพัดผ่านหมู่เรือนของเราอย่างเย็นใจ ซึ่งเรือนไทยนั้นมีลักษณะเป็น open space มีความโล่ง โปร่ง ดึงเอาธรรมชาติเข้ามาอยู่กับวิถีชีวิตประจำวันอย่างกลมกลืน มีบรรยากาศร่มรื่น รวมถึงวัสดุที่ใช้ ทั้งเรือนไม้ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ยังเป็นวัสดุธรรมชาติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต่างจากวัสดุสังเคราะห์คือ หาได้ง่าย กรรมวิธีในการผลิตไม่ยุ่งยาก มีความเป็นพิษน้อย ต่อร่างกาย สิ่งแวดล้อม และฐานะการเงิน


สิ่งเหล่านี้ได้แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของภูมิประเทศ รวมถึงการผสมผสานกันของภูมิปัญญาดั้งเดิมที่ชาญฉลาด นำธรรมชาติมาประยุกต์สร้างสิ่งต่างๆไว้กินไว้ใช้ วิถีชีวิตแบบนี้สามารถทำให้เราเป็นผู้มีอันจะกิน เหลือกินเหลือใช้นอนผึ่งพุงสบายได้ตลอดชาติเชียวนะคะ

เสน่ห์ของอดีต

ผ่านจากเรือนไทยภาคกลางสามัญชนผู้มีอันจะกินแล้ว เราสามารถข้ามไปสู่มิติถัดไปได้อีกค่ะ นั่นก็คือ...



หอวัฒนธรรมพื้นบ้าน ไทยวนนั่นเองค่ะ (อ่านว่า ไท-ยวน not ไทย-วน)

เดิมบรรพบุรุษของท่านอาจารย์ทรงชัยเป็นชาวเชียงแสนค่ะ ถูกกวาดต้อนในสมัยสงครามและได้แบ่งเป็นหลายส่วน ส่วนหนึ่งได้ตั้งรกรากอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย อีกส่วนได้อพยพลงมาจนถึงภาคกลาง แยกเป็นทางจังหวัดราชบุรีและสระบุรีค่ะ และที่แห่งนี้นั่นเอง เราก็จะมาพบกับคุ้มและวิถีชีวิตของชาวเชียงแสนค่ะ แม้ว่าจะไม่เหมือนกับลักษณะดั้งเดิมของการเป็นเรือนทางเชียงแสน


แต่ระดับนี้แล้วเราได้ถูกพัฒนามาให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เรือนดั้งเดิมจึงถูกจัดวางตามการใช้งานตามยุคสมัย เป็นทั้งที่พัก โฮมสเตย์ สำหรับนักท่องเที่ยว ที่เรียนสำหรับเด็กๆ รวมถึงการอนุรักษ์วิถีชีวิตดั้งเดิมและศิลปวัฒนธรรมให้คงอยู่ สิ่งเหล่านี้เป็นเสมือนตัวตนของชนชาติค่ะ ไม่สำคัญว่าเราจะตั้งรกรากอยู่แห่งใด แต่ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมจะแสดงถึงตัวตนที่ยังคงอยู่ของชนชาตินั้นๆ อย่างเช่น ไชน่าทาวที่ตระเวนแสดงตัวตนอยู่ทั่วทุกมุมโลกนั่นสิคะ ทำตนได้แนบเนียนประหนึ่งอยู่ในบ้านเกิดตน




ที่นี่ก็เช่นกันค่ะ ถึงแม้ว่าจะเดินทางไกลมาสู่ที่ราบลุ่มภาคกลาง ริมแม่น้ำป่าสัก แต่ภูมิปัญญาและบรรยากาศยังคงอยู่ในเมืองเชียงแสน การอนุรักษ์นั้นสิ่งสำคัญนอกจากการอนุรักษ์อาคารและสิ่งของแล้ว เรายังต้องอนุรักษ์วิถีชีวิตและเรื่องราวของสิ่งนั้นๆไว้ด้วย สิ่งของที่ไม่มีชีวิตจึงจะยังคงเป็นสิ่งที่เสมือนมีชีวิต ดำรงตนอย่างมีคุณค่าต่อไปค่ะ


ที่นี่นอกจากศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของชาวเชียงแสนที่แสดงตนแล้ว เราจะมาดูคุณค่าที่ซ่อนเร้นมากกว่านั้นค่ะ เรือนไทยตามปกติจะเป็นเรือนที่มีชิ้นส่วนถอดประกอบออกมาได้อยู่แล้วใช่ไหมคะ ดังนั้นการเคลื่อนย้ายจึงทำได้ง่ายดายสบายบรื๋อ ประหนึ่งกำลังเล่นบ้านโมเดล แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นค่ะ สิ่งที่เรือนไทยเป็นได้มากกว่านั้นนั่นก็คือ การที่ชิ้นส่วนแม้มาจากเรือนคนละหลัง แต่ยังมาประกอบกันได้อย่างลงตัว !!!


เขาคิดมาแล้วค่ะ เขาคิดมาแล้ว

ซึ่งเรือนไทยจริงๆแล้ว จะมีสัดส่วนเฉพาะที่ชัดเจน ทำให้ชิ้นส่วนแต่ละหลัง ถ้าอยู่ในขนาดประเภทเดียวกันแล้ว จะสามารถนำมาประกอบ  mix &match ได้อย่างลงตัวพอดี และที่มากไปกว่านั้น เรือนที่นี่เป็นเรือนเครื่องเหยียบค่ะ แหวกจากทฤษฎีเรือนไทยเดิมในห้องเรียน ที่มีเรือนเครื่องผูกและเรือนเครื่องสับ เรือนเครื่องเหยียบนั้นเวลาประกอบกันจะต้องเหยียบชิ้นส่วนไม้ก่อน จึงจะใส่ตัวไม้อีกตัวเข้าไปได้ค่ะ ซึ่งเรือนที่นี่เป็นการรวมตัวของชิ้นส่วนเรือนไทย 20กว่าหลังเชียวนะคะ และการที่จะทำให้สิ่งที่มาจากธรรมชาติยังคงรูปร่างเหนือกาลเวลาโดยไม่ใช้ botoxเช่นนี้แล้ว สิ่งสำคัญนั้นเริ่มตั้งแต่การเลือกวัสดุค่ะ รวมถึงการบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอ ไม่ปล่อยปละละเลยเหมือนสิ่งที่ตายแล้ว


เมื่อคุณเข้ามาสัมผัสกับที่นี่คุณจะพบว่าบรรยากาศก็เป็นสิ่งสำคัญค่ะ เอกลักษณ์และเสน่ห์ของบ้านนี้เมืองนี้อยู่ที่ความร่มเย็นสบาย รวมตัวกับวิถีชีวิตยะเนิบๆของชนชาติทางภาคเหนือของประเทศด้วยแล้ว ที่นี่จึงมีบรรยากาศของธรรมชาติที่ปกคลุมอยู่ทั่วทุกพื้นที่ค่ะ การคงอยู่ไว้ซึ่งธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ให้ร่มเงา การตั้งเรือนอยู่ริมแม่น้ำซึ่งในอดีตเป็นทางสัญจรหลัก แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ประโยชน์ของธรรมชาติเหล่านี้ก็ไม่เคยหมดไปตามนะคะ ยังคงคอยหล่อเลี้ยงรักษาชีวิตอยู่เช่นเดิม การวางอาคารที่นี่แม้จะแหวกแบบแผนเรือนไทยดั้งเดิมไปแล้ว แต่ก็ยังคงอยู่สอดแทรกธรรมชาติอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว คอยพึ่งพิงอาศัยร่มเงาต้นไม้ใหญ่ถึงใหญ่มากเหล่านี้ ทำให้เกิดความร่มรื่น อีกทั้งการจัดวางอาคารที่มีจังหวะ มีระยะ ทำให้ที่นี่มีลักษณะของ open space แบบไทยๆ มีการสอดแทรกระหว่างอาคารกับธรรมชาติ การเชื่อมต่อของพื้นที่หรือลานดินภายนอก ทำให้เกิดการเลื่อนไหลของพื้นที่ รับเอาธรรมชาติเข้ามาดำรงอยู่ในวิถีชีวิต ซึ่งต่างจากอาคารตะวันตกที่สร้างพื้นที่ปิดล้อมกระทัดรัด เพื่อให้พ้นจากธรรมชาติ(ลงโทษ)อันหนาวเหน็บในบางช่วงชีวิต อาคารเหล่านี้จึงแสดงถึงความงามของการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติ(แบบไม่ลงโทษ) รวมถึงการเล่นระดับในการจัดวางอาคารต่างๆ ทำให้มุมมองในแต่ละพื้นที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงพื้นที่ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์ คุ้มค่าคุ้มราคาจริงๆเลยค่ะ




อาจารย์ทรงชัยและอาจารย์จิ๋วค่ะ


เรือนเหล่านี้ไม่ขายนะคะ อยากได้ต้องมาสัมผัสเอง ;)

หมู่เรือนทั้งสองฟากแห่งตำนานนี้ท่านอาจารย์ทรงชัยได้รวบรวมเก็บรักษาเองค่ะ โดยก่อนอื่นจะต้องทำการรวบรวมข้อมูล ทำresearch รวมถึงการเข้าไปพูดคุยสอบถามจากแหล่งข้อมูลที่มีชีวิตซึ่งก็คือคนเฒ่าคนแก่นั่นเองค่ะ เราก็จะได้หลักฐานดั้งเดิม รวมถึงภูมิปัญญาเพื่อเป็นรากฐากในการอนุรักษ์และเก็บรักษา อย่าเพิ่งเข้าใจว่าการอนุรักษ์คือการคงสภาพสิ่งของหรืออาคารไว้ให้อยู่เหนือการเวลาเท่านั้นนะคะ แต่จริงๆแล้วเราอนุรักษ์คุณค่าที่สิ่งเหล่านี้แสดงต่างหากค่ะ คุณค่าที่เราเก็บรักษานั้นรวมถึงวิถีชีวิต เรื่องราว การดำรงอยู่ สภาพแวดล้อมที่สิ่งเหล่านั้นดำรงอยู่ซึ่งมันจะเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน เช่นถ้าเราไปพบม้าก้านกล้วยที่ฟินแลนด์ เราสามารถสันนิษฐานได้เลยค่ะว่า นี่คือสิ่งแปลกปลอมอย่างไม่ต้องสงสัย
และภูมิปัญญารวมถึงเรื่องราวของสิ่งเหล่านี้ เมื่อถูกส่งต่อมายังลูกหลานก็จะเป็นฐานความรู้ที่สามารถพัฒนาได้ต่อไปได้ในอนาคต เพราะการที่เราจะเจริญเติบโตนั้นจะต้องอาศัยราก บรรพบุรุษของเราก็เปรียบเสมือนรากเหง้าของเรา ซึ่งได้สะสมองค์ความรู้เปรียบเสมือนอาหาร ให้เราเจริญเติบโตแผ่กิ่งก้านสาขา ทำประโยชน์ต่อไปได้ในอนาคตค่ะ


เจ้านางเชียงแสนและการถ่่ายภาพแบบมีสกุล




อย่าค่ะ อย่าได้คิดว่าจะจบเพียงเท่านี้

ตามที่ได้บอกไปตอนต้นแล้วว่านี่คือ intro trip ดังนั้น ของจริงมันคือสิ่งที่อยู่ต่อจากนี้ค่ะ


โปรดติดตามของจริงได้ในตอนต่อไป ;)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น