วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

เพลิดเพลินในวัง:วังพญาไท ตอนที่ 2 เริงร่าในรั้ววัง

แต่การที่เราจะเดินเพลิดเพลินในวังที่สำคัญเช่นนี้ จะให้ดีต้องมีผู้รู้นำทางค่ะ

ที่วังพญาไทแห่งนี้เปิดให้เข้าชมภายในได้เฉพาะวันเสาร์เท่านั้นนะคะ เพราะที่นี่อยู่ในระหว่างการปรับปรุงซ่อมแซมอยู่ค่ะ

โดยจะมีวิทยากรนำชม 2รอบคือ 9.30 น. และ 13.30 น.วันนี้เรามารอบเช้ามีวิทยากรนำชมที่ได้ผ่านการอบรมหลักสูตรมาอย่างดี

ชื่อว่าเจ๊แดงค่ะ เจ๊แดงมีลักษณะภายนอกคล้ายเจ๊ละแวกเยาวราช แต่ภายในกลับเป็นหญิงผู้มีความรู้มากมาย อีกทั้งลีลาการบรรยายนำชมแพรวพราว สร้างความเพลิดเพลิน ได้ตลอด 3ชั่วโมงไม่มีเบื่อเลยค่ะ

(ระดับความนานในการบรรยายของเจ๊แดงขึ้นอยู่กับระดับความสนใจของผู้ชมค่ะ)


ขอย้ำอีกครั้งด้วยภาพแผนที่ประกอบการเดินทางค่ะ


โดยที่แรกเราเริ่มจากพระที่นั่งพิมานจักรี ซึ่งอยู่ตรงกลางค่ะ เพราะเป็นพระที่นั่งองค์ประธานของหมู่พระที่นั่ง เป็นอาคารอิฐ ฉาบปูน สูง 2 ชั้น ลักษณะสถาปัตยกรรม ผสมผสานระหว่างโรมาเนสก์กับโกธิคมีลักษณะพิเศษคือ มียอดโดมสูงสำหรับชักธงมหาราช  เจ้าพนักงานจะอัญเชิญธงมหาราช (ธงครุฑ) สู่ยอดเสาขณะที่ประทับอยู่ ที่พระราชวัง มีจิตรกรรมสีปูนแห้ง (fresco secco) บนเพดานและบริเวณด้านบนของผนังเขียนเป็นลายเชิงฝ้าเพดานรูปดอกไม้งดงาม บานประตูเป็นไม้สลักลายปิดทองลักษณะศิลปะวิคตอเรียน เหนือบานประตูจารึกอักษรพระปรมาภิไธย ร.ร. 6 สำหรับห้องชั้นล่าง เช่น ห้องเสวยร่วมกับฝ่ายใน ห้องรับแขก ห้องพักเครื่อง ฯลฯ มีจิตรกรรมสีปูนแห้งที่น่าชมเช่นกัน


ตรงเข้ามาที่โดมเด่นเป็นสง่านี้ค่ะ

ห้องแรกที่เจ๊แดงนำชมคือท้องพระโรงสำหรับฝ่ายหน้า เป็นส่วนแรกที่เข้ามาก่อนที่จะไปชมส่วนอื่นๆในวัง





ขึ้นมาชั้นสองกันเลยค่ะ ซึ่งพระที่นั่งทั้งสี่องค์ถูกเชื่อมกันที่ชั้นสองนี่เองค่ะ พระตำหนักนี้บนชั้นสองมีห้องน่าสนใจมากมาย ซึ่งห้องแรกก็คือ ท้องพระโรงกลาง เป็นห้องเสด็จออกให้เฝ้าส่วนพระองค์ หรือเสวยแบบง่ายๆ ภายในตกแต่งแบบยุโรป มีเตาผิงซึ่งตอนบนประดิษฐาน พระบรมสาทิศลักษณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในกรอบที่ประดับด้วยตราจักรี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ภายในรูปวงรี และภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎล้อมรอบด้วยพระรัศมี



ห้องถัดมาค่ะ อยู่ตรงข้ามกัน ที่นี่มีความสำคัญมากนะคะเพราะเป็นห้องทรงพระอักษร เป็นห้องใต้โดมบนชั้นสอง ยังปรากฏตู้หนังสือแบบติดผนัง เป็นตู้สีขาวลายทองมีอักษรพระปรมาภิไธย ร.ร. 6


อยู่ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎทุกตู้ อยู่ติดกับบันไดเวียน ซึ่งสามารถขึ้นไปยังห้องใต้หลังคาโดมที่ปัจจุบันใช้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่นี่เองค่ะที่เป็นสถานที่พระราชนิพนธ์บทประพันธ์มัทนะพาธา

ภายในห้องทรงพระอักษร



โถงทางเดินด้านนอก


ต่อมาเป็นห้องประทับของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา ภายในมีจิตรกรรมสีปูนแห้งบนฝ้าเพดาน เป็นลายดอกไม้ ส่วนที่บัวฝ้าเพดานเป็นลายหางนกยูง เนื่องจากนกยูงเป็นสัญลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี และพระองค์นี่เองค่ะ ที่ได้ถวายคำแนะนำให้ใช้ดอกกุหลาบเป็นดอกไม้สำหรับคำสาปที่นางในเรื่องมัทนะพาธาได้รับ

ห้องสุดท้ายเป็นห้องสำคัญที่สุดของพระตำหนักนี้ค่ะ คือห้องพระบรรทมพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมห้องสรง ภายในตกแต่งลายเพดานงดงามด้วยจิตรกรรมเขียนด้วยเทคนิคสีปูนแห้ง เป็นภาพคัมภีร์ในศาสนาพุทธเขียนบนใบลาน และภาพพญามังกร หมายถึงสัญลักษณ์ของความเป็นพระราชา และปีพระราชสมภพ อีกทั้งในเวลาต่อมายังเคยใช้เป็นห้องประชุมของกรมการแพทย์ทหารบกด้วยค่ะ









ออกมาด้านหน้าพระที่นั่งกันก่อนค่ะ เรามาพบกับพระที่นั่งเทวราชสภารมณ์ซึ่งเป็นท้องพระโรงเดิมในสมัยสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จมาประทับ ณ วังพญาไท เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๓ โดยยังปรากฏอักษรพระนามาภิไธย สผ (พระนามเดิม สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี) พระที่นั่งองค์นี้ตั้งอยู่ทางด้านของพระที่นั่งไวยกูณฐเทพยสถาน เข้ามาเราก็จะเห็นด้านหน้าเลยค่ะ



ลักษณะท้องพระโรงได้รับอิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรมแบบไบเซ็นไทน์ มีโดมอยู่ตรงกลางรับด้วยหลังคาโค้งประทุน ๔ ด้านบนผนังมีจิตรกรรมรูปคนและลายพรรณพฤกษา เคยเป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีทางศาสนาในงานพระราชกุศล เช่นงานเฉลิมพระชนมพรรษา วันธรรมดาใช้รับรองแขกส่วนพระองค์ที่มาเข้าเฝ้า บางครั้งเป็นโรงละคร หรือโรงภาพยนตร์แล้วแต่โอกาสค่ะ


เข้ามาจะเห็นพระนามาภิไธย สผ ค่ะ




อย่ารอช้าค่ะ พระตำหนักถัดมาซึ่งเชื่อมกันคือ พระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถาน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระที่นั่งพิมานจักรี อาคารมีลักษณะแบบโรมาเนสก์ เดิมเป็นพระที่นั่งสูง 2 ชั้น ก่ออิฐ ฉาบปูน ได้มีการต่อเติมชั้น 3 ขึ้นภายหลัง เพื่อจัดเป็นห้องพระบรรทมค่ะ



สำหรับพระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถานนี้ เคยเป็นที่ตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงกรุงเทพฯ ที่พญาไท เมื่อ พ.ศ. 2473 โดยในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2473 ซึ่งตรงกับวันพระราชพิธีฉัตรมงคลในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการเปิดการส่งวิทยุกระจายเสียงเป็นปฐมฤกษ์ พิธีเปิดสถานีได้กระทำโดยอัญเชิญกระแสพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการฝ่ายหน้าในพระราชพิธีนั้น จากพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยในพระบรมมหาราชวัง มีไมโครโฟนตั้งรับกระแสพระราชดำรัสถ่ายทอดไปตามสายเข้าเครื่องส่งที่พญาไท แล้วกระจายเสียงสู่พสกนิกรที่มีเครื่องรับวิทยุในสมัยนั้นได้รับฟัง อนึ่ง การจัดตั้งสถานีวิทยุดังกล่าวดำเนินไปได้เพียง 2 ปี ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 และได้ย้ายไปยังที่ทำการตำบลศาลาแดงค่ะ


ต่อมาที่ชั้น 3 ห้องพระบรรทมพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถาน ตั้งอยู่บนชั้นที่ 3 ภายในห้องมีจิตรกรรมเขียนด้วยเทคนิคสีปูนแห้ง (fresco secco) บนฝ้าเพดาน เป็นรูปเทพน้อย 4 องค์ พร้อมเครื่องดนตรีลอยอยู่ในท้องฟ้าเป็นวงกลม การจัดภาพและฝีมืองดงามมาก นอกจากนี้ยังมีจิตรกรรมบนฝ้าเพดานและเชิงฝ้าเพดานที่ห้องทรงพระอักษร ห้องพระสมุด ห้องพระภูษา เช่นกันค่ะ


ต่อมาค่ะ ห้องพระสมุด ห้องนี้เมื่อครั้งเป็นโรงแรมเป็นห้องที่แพงที่สุดนะคะ คืนละ 120 บาท ในสมัยนั้น ลองนึกดูนะคะ สมัยนั้นอาหารราคา ประมาณ 10 สตางค์ ราคานี้สามารถรับประทานอาหารได้เท่าไรกันคะ ไม่รวยจริง อยู่ไม่ได้นะคะเนี่ย แต่ราคาขนาดนี้แสดงว่ามีทีเด็ดจริงค่ะ




ด้านหน้าห้องประดับไปด้วยลายกุหลาบที่งดงามค่ะ



ประตูหน้าห้องมีลูกเล่นนะคะ เปิดได้ทั้งบานเล็กบานใหญ่ แถมเป็นไม้แกะสลักปิดทองด้วยค่ะ



ภายในห้องประดับด้วยไม้แกะสลักปิดทองแบบนี้โดยรอบค่ะ



ฝ้าเพดานด้านในค่ะ เป็นลายที่สวยที่สุดในพระราชวังที่คณะกรรมการคัดเลือกแล้วค่ะ



ภายในห้องพระสมุด หน้าต่างบานใหญ่นี้มีรอบห้องค่ะ ทำให้เย็นสบายมาก


ถัดมาคือพระที่นั่งอุดมวนาภรณ์ วันที่เราไปนี้ไม่อนุญาตให้เดินเข้าไปแล้วนะคะ เนื่องจากในปัจจุบันเป็นพื้นที่ทำงานของผอ.โรงพยาบาลไปแล้วค่ะ พระตำหนักนี้เป็นพระตำหนักที่อยู่ทางทิศตะวันออกของพระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถาน ในบริเวณที่เข้าใจว่าเดิมมีอาคารซึ่งเรียกกันว่า ตึกคลัง ส่วนพระที่นั่งองค์นี้น่าจะสร้างขึ้นในระยะหลัง จึงมีลักษณะต่างไปจากพระที่นั่งองค์อื่นๆ  คือเป็นอาคารสูง 2 ชั้นที่เรียบง่าย หลังคาลาดชันน้อยกว่า ไม่มีการตกแต่งด้วยจิตรกรรมเขียนสีปูนแห้งตามเพดานและผนัง แต่ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีขาว เน้นบริเวณประตูทางเข้าและบันไดขนาดใหญ่ตรงกลาง ราวบันไดเป็นเหล็กหล่อทำลวดลายคล้ายกับลายแบบอาร์ตนูโว นอกจากนั้นยังมีบันไดเวียนทำด้วยเหล็กหล่อทั้งโครงสร้าง ขั้นบันไดและลูกกรงเป็นแบบที่ได้รับอิทธิพลต่อเนื่องมาจากสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งมักจะทำด้วยไม้ แต่ขณะนั้นวัสดุก่อสร้างมีวิวัฒนาการมากขึ้น จึงหันมาใช้เหล็กหล่อ ห้องชั้นบนมีลักษณะการวางผังเหมือนกันทั้งซ้ายขวา ชั้นล่างเป็นห้องโถงกว้าง พระที่นั่งองค์นี้เดิมอาจไม่เกี่ยวกับหมู่พระที่นั่ง 3 องค์แรก แต่ต่อมาได้เป็นที่ประทับของพระนางเจ้าสุวัทนาพระวรราชเทวี และพระสุจริตสุดาพระสนมเอก ในภายหลังจึงได้ต่อสะพานเชื่อมในระดับชั้นที่ 2 สะพานนี้เป็นคอนกรีตเสริมเหล็กช่วงยาวมากกว่าปกติ นับเป็นเครื่องแสดงให้เห็นความก้าวหน้าทางโครงสร้างอีกระดับหนึ่งด้วยค่ะ


ทางเดินชั้น2 ที่เชื่อมจากพระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถานไปยังพระที่นั่งอุดมวนาภรณ์ค่ะ


กระจกเขียนสีลายดอกกุหลาบที่บานประตูชั้น 2



บันไดหลักของห้องโถง ราวบันไดเป็นเหล็กหล่อทำลวดลายคล้ายกับลายแบบอาร์ตนูโว



ด้านนอกพระตำหนักอุดมวนาภรณ์ค่ะ



มาอีกทางเลยค่ะ บริเวณนี้พระที่นั่งศรีสุทธนิวาส เดิมมีนามว่าพระที่นั่งลักษมีพิลาส ตามพระนามของพระนางเธอลักษมีลาวัณ พระชายาของรัชกาลที่ 6 อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของพระที่นั่งพิมานจักรี เป็นพระที่นั่งสูง 2 ชั้น ก่ออิฐฉาบปูน มีโดมขนาดเล็ก ลักษณะอาคารเป็นแบบอิงลิช โกธิค มีทางเชื่อมต่อกับพระที่นั่งพิมานจักรีในระดับชั้น 2 ใช้เป็นที่รับรองแขกของเจ้านายฝ่ายใน ที่ฝาผนังตอนใกล้เพดาน และเพดานมีจิตรกรรมลักษณะแบบ อาร์ต นูโว เป็นลายดอกไม้ และที่ห้องสำคัญเป็นภาพชายหญิงและแกะ ซึ่งเป็นภาพเขียนสีแบบตะวันตก


ทางเดินไปพระที่นั่งศรีสุทธนิวาส



ห้องที่มีเลขที่ห้องเมื่อครั้งยังเป็นโรงแรม เหลือที่ห้องนี้ห้องเดียวค่ะ 
ภายในยังเคยใช้เป็นห้องสูตินรีเวชสมัยเป็นโรงพยาบาลด้วยค่ะ


ลายภาพเขียนบนฝ้าเพดานค่ะ



พื้นห้องทุกห้องปูด้วยปาร์เกต์ลายคชกริชก้างปลา ลายเดียวกันหมดค่ะ



ด้านหน้าห้อง บันไดเล็กๆ มีไว้สำหรับนางข้าหลวง ส่วนประตูสีน้ำตาลคือห้องเซฟค่ะ

          ในปัจจุบันที่ชั้นล่างของพระที่นั่งศรีสุทธนิวาส ได้มีการบูรณะและเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์การแพทย์ทหารบก ให้ความรู้เกี่ยวกับกิจการแพทย์ทหารบกในสมัยรัชกาลที่ 6 จนถึงปัจจุบัน มีสิ่งของเครื่องใช้ในอดีตมาจัดแสดงโชว์พร้อมข้อมูลให้ความรู้ไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย  และที่สำคัญยังจะได้เห็นการตกแต่งภายใน ลวดลายบนเพดานที่บูรณะแล้ว สวยงามมากค่ะ เป็นรูปเถาองุ่น เพราะห้องนี้เคยใช้เป็นห้องพระเสวยมาก่อนลวดลายจึงเป็นรูปเกี่ยวกับผลไม้


บันไดไม้แกะสลัก ฝีมือช่างไม่ธรรมดาจริงๆค่ะ


พิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าชมวันอังคาร - ศุกร์ เวลา 11.00 - 15.00 น. ปิดวันเสาร์ - จันทร์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ค่ะ วันที่ไปนี้เป็นวันเสาร์ค่ะ เลยเข้าไปดูภายในพิพิธภัณฑ์ไม่ได้

ต่อมาเลยค่ะ ด้านหลังค่ะ มีพระตำหนักอีกองค์ที่น่าสนใจมากคือ พระตำหนักเมขลารูจี อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของพระที่นั่งพิมานจักรี ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักองค์น้อยขึ้นหนึ่งองค์ที่ริมคลองพญาไทตอนกลาง  พระราชทานนามว่า พระตำหนักอุดมวนาภรณ์ เป็นเรือนไม้สัก 2 ชั้น หลังคามุงกระเบื้องดินเผา ภายในมีภาพเขียนสีลายนก สวยงาม และมีสระสรง ใช้เป็นที่สรงน้ำหลังจากทรงพระเครื่องใหญ่ (ตัดผม) แล้ว และได้เสด็จมาประทับอยู่ชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2463 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นที่ประทับแห่งแรกในพระราชวังแห่งนี้ โดยได้ใช้เป็นที่ทรงงานวางโครงการสร้างพระราชมณเฑียรสถานสำหรับประทับถาวรอีกด้วย ต่อมา เมื่อการก่อสร้างพระราชมณเฑียรสถานอื่นๆ ในพระราชวังแห่งนี้แล้วเสร็จ และมีพระราชประสงค์ให้พระที่นั่งด้านตะวันออกซึ่งเชื่อมต่อกับพระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถานใช้นามว่า พระที่นั่งอุดมวนาภรณ์ จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามพระตำหนักแห่งนี้ใหม่เป็นพระตำหนักเมขลารูจีค่ะ


ภาพดั้งเดิมค่ะ ตรงเรือนด้านหน้าที่ยื่นมานั่นคือห้องสรงค่ะ 



ภาพปัจจุบันอยู่ระหว่างซ่อมแซม



ภายในห้องสรงค่ะ



ภายในพระตำหนักเล็กๆน่ารักค่ะ



ราวระเบียงไม้แกะสลักชั้น 2 ซึ่งเป็นพื้นที่ทรงเครื่องใหญ่ค่ะ



ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงซ่อมแซมอยู่ค่ะ เราก็ลุยเข้าไป เหมือนเวลาไปดู site นะคะ


ทางเชื่อมกับห้องพักเครื่องเสวยค่ะ



ด้านนอกพระตำหนักค่ะ


ต่อมาค่ะ ถัดจากพระตำหนักเมขลารูจี เป็นดินแดนแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ค่ะ เริ่มจาก พระมหานาคชินะวร วรานุสรณ์มงกุฎราชค่ะ เป็นพระพุทธรูปประจำพระราชวังพญาไท สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลอุทิศแด่พระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้าอยู่หัวตามความดำริของพลตรี ปัญญา อยู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเเพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าในสมัยนั้น โดยใช้เงินที่เหลือจากงานอุปสมบทหมู่นักเรียนแพทย์ศาสตร์ทหารครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2532 เป็นส่วนหนึ่งของทุนเริ่มดำเนินการ และได้รับการสนับสนุนจากผู้บังคับบัญชา ข้าราชการ ผู้เจ็บป่วยและประชาชนทั่วไป มีจิดศรัทธาร่วมบริจาคสมทบ ซึ่งสมเด็จพระญูาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาปรินายก องค์พระอุปัชฌาย์และผู้ประทานแบบในการก่อสร้าง ได้เสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธีเททองหล่อองค์พระ ณ ลานหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  พระราชวังพญาไท และได้เสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธีมหาพุทธาภิเษก ณ พระที่นั่งเทวราชสภารมย์ พระราชวังพญาไท เมื่อวันที่6 มกราคม พ.ศ. 2533



สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระมหานาคชินะวร วรานุสรณ์มงกุฎราช” พระพุทธรูปองค์นี้จำลองแบบมาจากพระมหานาคชินะ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงสร้างไว้เมื่อครั้งทรงผนวช ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นพระพุทธรูปปางนาคปรก จัดเป็นพระประจำวันเสาร์ ลักษณะเด่นชัด คือ นั่งขัดสมาธิราบ (โยคะสนะ) พระชงฆ์ขวาทับซ้าย เป็นท่านั่งที่สำรวมอิริยาบท หงายพระหัตถ์วางซ้อนกันบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาวางทับบนพระหัตถ์ซ้าย มีพญานาคแผ่พังพาน7 เศียร ตามพุทธประวัติว่าด้วยเหตุการณ์หลังตรัสรู้ใหม่ๆ พระภูมีพระภาคเจ้าประทับเสวยวิมุติสุข ณ โคนต้นจิก 7วัน ได้เกิดเมฆใหญู่ผิดฤดูกาล มีฝนตกพรำ เจือด้วยลมหนาวตลอด7 วัน พญานาคชื่อมุจลินท์ มาวงด้วยขนดรอบพระผู้มีพระภาค 7รอบ เพื่อป้องกันความหนาวร้อน เหลือบยุง

ถัดมาค่ะ ท้าวหิรันยพนาสูร เชื่อกันว่าท้าวหิรันยพนาสูรเป็นอสูรผู้มีสัมมาทิฏฐิและสัมมาปฏิบัติ เป็นชายรูปร่างล่ำสันใหญ่โต คอยติดตามป้องกันภยันตรายทั้งปวงให้กับพระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมิให้มากล้ำกรายพระองค์และข้าราชบริพารตั้งแต่เมื่อครั้งเสต็จประพาสมณฑลพายัพเมื่อ พ.ศ.2449 ในครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมารได้เสด็จประพาสมณฑลพายัพเมี่อจะออกเดินทางไปในป่า ผู้ที่ตามเสต็จพากันกลัวว่าจะเกิดภยันตรายต่าง ๆ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงพระกรุณาดำรัสชี้แจงเพื่อให้คลายกังวลว่าเจ้าใหญู่นายโตเมื่อจะเสด็จที่ใดคงจะมีทั้งเทวดาและปีศาจ  หรืออสูรอันเป็นสัมมาทิฏฐิคอยติดตามป้องกันภยันตราย มิให้มากล้ำกรายพระองค์และบริพารผู้โดยเสด็จฯ



จากนั้นปรากฏว่าผู้ที่ตามเสด็จ ผู้หนึ่งกล่าวว่าฝันเห็นชายรูปร่างล่ำสันใหญ่โตแจ้งว่าชี่อหิรันย์ เป็นอสูรชาวป่า จะมาตามเสด็จ เพื่อคอยดูแลระวังมิให้ภยัน-ตรายทั้งปวงมากล้ำกรายพระองค์และข้าราชบริพาร ครั้นทรงทราบความจึงมีพระราชดำรัสให้จัดธูปเทียน และอาหารไปเซ่นที่ในป่าริมพลับพลา และเวลาเสวยค่ำทุกวัน ได้โปรดเกล้าฯ ให้เเบ่งพระกระยาหารจากเครื่องเสวยไปตั้งเช่นเสมอ หลังจากที่เสด็จประพาสมณฑลพายัพแล้วข้าราชบริพารก็พร้อมกันเชิญหิรันยอสูรให้ตามเสด็จ เมื่อเสด็จออกจากกรุงเทพฯด้วยเสมอ และโปรดให้เซ่นหิรันยอสูรอย่างเช่นเมี่อครั้งเสด็จมณฑลพายัพเป็นธรรมเนียมตลอดมา


ครั้นเมื่อเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติแล้วจึงโปรดเกล้าฯ ให้ช่างหล่อรูปหิรันยอสูรด้วยทองสัมฤทธิ์ และทรงพระราชทานนามใหม่ว่าท้าวหิรันยพนาสูร (สะกดตามลายพระราชหัตถเลขา) มีชฎาเทริดอย่างไทยโบราณ เเละไม้เท้าเป็นเครื่องประดับยศ แรกนั้นรูปหล่อของท้าวหิรันยพนาสูรนี้สูงประมาณ20 ซ.ม. มีจำนวน 4 องค์ องค์แรกเดิมประดิษฐานอยู่ข้างพระที่ในห้องพระบรรทม ปัจจุบันอยู่ที่วังรื่นฤดี ซึ่งสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรัตนราชสุดาสิริโสภาพัณณวดียังคงให้มีการถวายเครี่องเซ่นเป็นประจำทุกวัน องค์ที่ 2 โปรดให้อัญเชิญไว้หน้าหม้อรถยนต์พระที่นั่ง ปัจจุบันอยู่ที่หมวดรถยนต์หลวง โดยอัญเชิญไว้บนหิ้งบูชา องค์ที่ 3 โปรดให้อัญเชิญไว้ที่กรมมหาดเล็กหลวง ปัจจุบันอยู่ที่พระที่นั่งราชกรัญยสภา ในพระบรมมหาราชวัง และองค์สุดท้ายอยู่ที่บ้านพระยาอนิรุทธเทวา อดีตอธิบดีกรมมหาดเล็กหลวงในสมัยรัชกาลที่ 6 ใน พ.ศ. 2465 เมื่อการสร้างพระราชวังพญาไทสำหรับประทับเป็นการถาวรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้โปรดเกล้าฯให้ช่างหล่อรูปท้าวหิรันยพนาสูรขนาดใหญ่ด้วยทองสัมฤทธิ์มีชฎาเทริดอย่างไทยโบราณ และไม้เท้าเป็นเครื่องประดับยศ มีพระราชพิธีบวงสรวงขอเชิญท้าวหิรันยพนาสูรเข้าสิงสถิตยนรูปสัมฤทธิ์เมื่อเป็นศาลเทพารักษ์ประจำพระราชวังพญาไทสืบไปค่ะ


ต่อมาค่ะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ล่าสุด เจ้าแม่ตะเคียนค่ะ ตามปกติค่ะ ไม้ตะเคียนที่มีอายุยาวนานขนาดนี้แต่กลับไม่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ตามความเชื่อของชาวไทยค่ะ จะต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทับอยู่แน่นอน แต่ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องเล่าเท่านั้นนะคะ วัดได้จากเสื้อผ้านางรำที่มีผู้นำมาถวายจนมากมายเก็บกันไม่หวาดไม่ไหว เจ้าแม่มีเครื่องทรงใหม่ตลอดเวลาเลยทีเดียวค่ะ



ต่อมาค่ะ ส่วนสุดท้าย สวนโรมันค่ะ เข้าใจว่าเดิมเป็นหนึ่งในสามของพระราชอุทยานในพระราชวังพญาไทสำหรับพักผ่อนพระราชอิริยาบถ การจัดแต่งภูมิสถาปัตย์เป็นลักษณะแบบเรขาคณิต ประกอบด้วยศาลาในสวนที่ใช้รูปแบบของสถาปัตยกรรมแบบโรมัน มีศาลาทรงกลมตรงกลาง หลังคาโดมรับด้วยเสาแบบคอรินเธียน (Corinthian Order) ขนาบด้วยศาลาทรงสี่เหลี่ยมโปร่งไม่มีหลังคากำหนดขอบเขตด้วยเสาแบบเดียวกันกับโดม รองรับคานที่พาดด้านบน (Entablature) มีการประดับด้วยตุ๊กตาหินอ่อนแบบโรมัน บริเวณบันไดทางขึ้น ซึ่งต่อเนื่องกับด้านหน้าที่มีสระน้ำขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในแนวแกนเดียวกับโดม มีทางเดินกว้างโดยรอบสระน้ำเชื่อมต่อกับศาลา ซึ่งศาลานี้ใช้เป็นเวทีการแสดงกลางแจ้งในบางโอกาส

ทางไปสวนโรมันค่ะ ด้านซ้ายมือในอดีตเคยเป็นพื้นที่ดุสิตธานีค่ะ


ศาลาแบบโรมัน



ภายในโดมตรงกลางค่ะ ไม่มีเสียหายแม้แต่น้อย



สระน้ำที่อยู่ในแนวเดียวกับศาลา ตรงกลางมีรูปหล่อพระวรุณ 
ตั้งบนฐานหินอ่อนตอนล่างประดับด้วยมังกร 
ออกแบบโดยศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี แล้วจึงส่งไปหล่อที่ประเทศอิตาลี



เสร็จแล้วเราก็มาจบกันตรงที่ด้านหน้าค่ะ พลาดไม่ได้เลยกับ อาคารเทียบรถพระที่นั่ง ไม่ใช่อาคารเทียบรถพระที่นั่งธรรมดานะคะ เพราะตอนนี้ได้ถูกทำเป็นร้านกาแฟนรสิงห์สุดน่ารัก และเชื้อเชิญให้เราเข้าไปอย่างยิ่งค่ะ อาคารเทียบรถพระที่นั่งนี้ ได้สร้างต่อเติมภายหลังจากการสร้างพระราชวังพญาไทเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีลักษณะอาคารแบบนีโอคลาสสิค โดยอยู่ด้านหน้าพระที่นั่งพิมานจักรี สำหรับเป็นลานเทียบรถพระที่นั่งและห้องพักคอยผู้รอเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวค่ะ ตอนนี้เราก็เข้ามาภายใน มีอาหารเบาๆ ดื่มชา กาแฟ นั่งฟังเพลงคลาสสิคหรูๆ เพลิดเพลินได้บรรยากาศย้อนยุคไม่น้อยทีเดียวค่ะ (ขอแอบบอกว่าราคาอาหารก็น่ารักเช่นเดียวกันกับอาหารค่ะ)


อาคารเทียบรถพระที่นั่งส่วนเชื่อมต่อกับพระที่นั่งพิมานจักรี



ประตูประดับด้วยกระจกทองเป็นของโบราณนะคะ ปัจจุบันถ้าจะซ่อม ก็มีแต่กระจกขาวแล้วค่ะ



ที่นั่งน่ารักๆค่ะ



บรรยากาศหรูหราภายในค่ะ



ที่แขวนหมวกในสมัยก่อนสำหรับผู้ที่มาเข้าเฝ้าค่ะ อยู่ที่ประตูด้านหน้า


เพลิดเพลินในวังพญาไทมาสามชั่วโมงกว่าแล้วเรายังไม่จุใจค่ะ แอบไปต่อกันที่พระที่นั่งอนันตสมาคม และที่นี่นะคะ ขอบอกว่าอลังการงานสร้างมากๆ เห็นแล้วประทับใจอย่างยิ่งจนอยากจะเข้าไปสิงกันทีเดียว



สวยงามมากถึงขนาด เสียค่าเข้าชม 150 ก็ยังไม่เสียดายเลยค่ะ (แต่ตอนไปนี้เสียแค่ 75 บาท โดยใช้บัตรนักศึกษาค่ะ เลยรู้สึกดีเพิ่มขึ้น) ที่นี่เนื่องจากเป็นเขตพระราชฐานค่ะ ต่างกับพระราชวังพญาไท ซึ่งได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว ดังนั้นเราเป็นหญิง จึงต้องนุ่งกระโปรงยาวนะคะ แต่ถ้าไม่ใส่มา ที่นี่ก็ไม่ได้ปล่อยให้เรานุ่งผ้าถุงคุณยายอย่างวัดพระแก้วค่ะ ที่นี่มีโสร่งผ้าทอ เลือกสีได้ตามใจชอบ ผืนละ 40 บาทเท่านั้น ซื้อเสร็จคุณสามารถนำกลับบ้านได้ทันทีค่ะ แถมเจ้าหน้าที่ยังใจดีพันโสร่งให้ด้วยค่ะ สวมแล้วให้ความรู้สึกเหมือนชาววังขึ้นมาทันทีเลยค่ะ จากนั้นเราก็รีบเข้าไปเดินร่าเริงตื่นตาตื่นใจข้างในกันเลยค่ะ ส่วนรายละเอียด ติดตามได้ที่นี่ค่ะ http://littlemonkeysnap.blogspot.com/


เพื่อนสาว(รึเปล่า?)คนนี้เองค่ะที่ร่วมเดินทางกันไปร่าเริงชมวังกัน และเอื้อเฟื้อภาพถ่ายบางส่วน เพราะเหตุขัดข้องจากกล้องตนเองนิดหน่อยค่ะ :)









ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพบางส่วนจาก:

พระราชวังพญาไท.ชมรมคนรักวัง.2548 

www.phyathaipalace.org/

www.bangkokgoguide.com/phya-thai-palace.php

คุณสุริยาพร บุญโกศล


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น