วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

เพลิดเพลินในวัง:วังพญาไท ตอนที่ 1 ที่นี่นั้นได้แต่ใดมา



ช่วงนี้ตามกระแสค่ะ สืบเนื่องมาจากกระแสละครวนิดามาแรงมากในช่วงนี้


ดังนั้นวันนี้เราจึงขอตามกระแสไปเป็นผู้ดีกันบ้าง

แต่จะให้ไปเฉิดฉายยังบ้านมหศักดิ์หรือคะ นั่นยังไม่สมฐานะค่ะ

วันนี้เราจึงขอนำเสนอทางเลือกใหม่ นั่นคือ... การไปเป็นชาววังกันค่ะ



แต่ ! ช้าก่อน

พระราชวังนั้นมีหลายหลาก เราจะเลือกวังใดกันดีคะ?

ถ้าคุณยังคิดไม่ออก เรามีทางเลือกมานำเสนออีกค่ะ

ลองไปสัมผัสวังเล็กๆ น่ารักๆ อย่างวังพญาไทกันดีไหมคะ?



ความจริงแล้ว ที่ชวนไปวังพญาไทในครั้งนี้นะคะ เนื่องมาจากว่า เมื่อครั้งสมัยยังวัยเยาว์นักในวันหนึ่งไปเจอสถานที่น่าสนใจอย่างวังพญาไทในหนังสือเข้า เลยอยากจะไปร่าเริงในวังบ้าง แต่ติดปัญหาอยู่ที่ผู้คนรอบข้างไม่มีใครสนใจจะไปเป็นชาววังด้วยกันเลยค่ะ

ดังนั้นวังพญาไทจึงได้แต่ยังคงเก็บไว้อยู่ในใจเรื่อยมา จนกระทั่งตอนนี้ค่ะ 6 ปีต่อมา เมื่อมีโอกาสแล้ว อย่าได้รอช้า ไปเริงร่าในวังกันดีกว่าค่ะ

จุดแรกที่เราจะเดินทางมายังวังแห่งนี้ได้ ขอแนะนำว่ามาตั้งหลักกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิกันก่อน แล้วจึงมายังถนนราชวิถีพระราชวังจะอยู่ติดกับโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเลยค่ะ



มุมมองจากฝั่งตรงข้ามค่ะ



เข้ามาภายในเราจะพบว่าวังพญาไทนั้นมีถนนเชื่อมต่อกับส่วนโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าค่ะ เห็นแล้วค่ะ เราเห็นแล้วค่ะพระราชวัง แต่ทางเข้าต้องดูกันดีๆค่ะ เพราะว่าอาจเกิดเหตุการณ์ที่รู้ตัวอีกทีทำไมอยู่ในโรงพยาบาลไม่ใช่วังได้ค่ะ




อาคารนี้เด่นเป็นสง่า มีนามว่าพระที่นั่งพิมานจักรีค่ะ ในส่วนนี้เป็นส่วนต้อนรับและเป็นส่วนแรกที่เราจะเข้าชมในพระราชวังกันค่ะ

พระราชวังพญาไทประกอบไปด้วยหมู่พระที่นั่ง 5 องค์ ที่มีชื่อคล้องจองกัน คือ พระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถาน พระที่นั่งพิมานจักรี พระที่นั่งศรีสุทธนิวาส พระที่นั่งเทวราชสภารมย์ และพระที่นั่งอุดมวนาภรณ์


แผนผังประกอบ

          พระราชวังพญาไทนี้มีประวัติยาวนานไม่ธรรมดานะคะ ซึ่งแต่เดิมประมาณ 100 ปีที่แล้ว  ถนนราชวิถีเป็นเพียงถนนสายสั้นๆ เริ่มต้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยามาสุดที่ด้านหลังพระราชวังสวนดุสิต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานชื่อถนนสายนี้ว่า  ถนนซางฮี้  (ปัจจุบันมักเรียกว่า ซังฮี้) อันเป็นคำมงคลของจีน มีความหมายว่า  “ยินดีอย่างยิ่ง”และต่อมาได้รับพระราชทานชื่อใหม่ว่า  ถนนราชวิถี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว   ปลายถนน ซางฮี้ ตอนตัดใหม่ๆ นั้นเป็นสวนผักและไร่นา มีคลองสามเสนไหลผ่าน พื้นที่ยังโล่ง กว้าง อากาศโปร่งสบาย เป็นที่ต้องพระราชอัธยาศัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างมาก ได้โปรดเกล้าฯ ให้ซื้อที่ดินประมาณ 100 ไร่ เศษ  จากชาวนาชาวสวนบริเวณนั้น เพื่อใช้ทดลองปลูกธัญพืช และเป็นที่ประทับพักผ่อนพระราชอิริยาบท โรงเรือนหลังแรกที่โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ณ ที่นี้ คือ โรง และได้พระราชทานนามว่า  โรงนาหลวงคลองพญาไท  พร้อมกับโปรดเกล้าให้ย้ายพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ที่เคยประกอบที่ทุ่งพระเมรุ (ท้องสนามหลวง) มาจัดที่ทุ่งพญาไทค่ะ

ต่อมาพระตำหนักพญาไทได้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2452  เพื่อเป็นที่ประทับสำราญพระราชอิริยาบทเวลาเสด็จพระราชดำเนินที่นาแห่งนี้หลังการก่อสร้างพระตำหนักเสร็จสมบูรณ์ และมีพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลคฤหมงคล (ขึ้นเรือนใหม่) ในวันที่ 14-15 พฤษภาคม พ.ศ. 2453 แล้ว  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จมาประทับที่วังพญาไทบ่อยครั้งขึ้น  ครั้งสุดท้ายที่เสด็จประพาสตรงกับวังที่ 16 ตุลาคม 2453 เพียงหนึ่งสัปดาห์ ก่อนเสด็จสวรรคต

และเนื่องจากการสูญเสียสมเด็จพระบรมราชสวามี เป็นเหตุให้สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี ทรงพระประชวร พระอนามัยทรุดโทรมลง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงวิตกห่วงใย ได้กราบบังคมทูลแนะนำให้แปรพระราชฐาน จากในพระบรมมหาราชวังมาประทับที่วังพญาไทเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมให้ทรงพระสำราญและเพื่อความสะดวกสำหรับแพทย์ และพระประยุรญาติจะได้มีโอกาสเฝ้าเยี่ยม และถวายการรักษาโดยง่าย


พระตำหนักพญาไท เมื่อครั้งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระพันปีหลวงค่ะ


ซึ่งสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาประทับที่พระตำหนักพญาไท พร้อมด้วยพระประยูรญาติที่ใกล้ชิดตลอดจนพระชนมายุ เป็นเวลาเกือบ 10 ปี  พระราชสำนักสมเด็จพระพันปีหลวง ณ วังพญาไท ในสมัยนั้นอุ่นหนาฝาคั่งไปด้วยผู้คนทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายใน กล่าวกันว่ามีไม่น้อยกว่า 500 คน บรรดาผู้ที่สังกัดอยู่ใต้ร่มพระบารมีสมเด็จพระพันปีหลวงไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์ ข้าหลวง โขลนจำ ข้าราชบริพารน้อยใหญ่ ทุกคนได้รับพระราชทานเบี้ยหวัด เงินเดือน เงินปี ที่อยู่ อย่างอุดมสมบูรณ์ ตามสมควรแก่ฐานะโดยทั่วถึง ครั้นเมื่อ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี เสด็จสวรรคตใน พ.ศ. 2462 แล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงพระราชดำริที่จะสร้างพระราชมณเฑียรสถานขึ้นใหม่ เพื่อเป็นที่ประทับในวังพญาไท และได้โปรดเกล้าฯ ให้ยกวังพญาไท ขึ้นเป็นพระราชวังพญาไท เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบรมชนกนาถและพระบรมราชชนนี



บ้านพักสำหรับข้าราชการฝ่ายใน



สมเด็จพระพันปีหลวงทรงดำนา  ณ ทุ่งพญาไท
(ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)

จากภาพสมเด็จพระพันปีหลวงทรงประทับนั่งอยู่ ไม่ใช่คนที่เดินนะคะ เพราะในนามีปลิงมาก และในสมัยนั้น ก็มีการปลูกข้าวเช่นเดียวกับบริเวณวังสวนจิตรลดาในปัจจุบันนี้ค่ะ ข้าวจากวังสวนจิตรลดานั้นไว้เพื่อส่งไปช่วยผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่างๆ ส่วนข้าวในวังพญาไทนั้นไว้เพื่อส่งไปยังวัดเบญจมบพิตรค่ะ ถูกแล้วค่ะ วัดเบญจมบพิตรแน่นอน เพราะในสมัยนั้นวัดเบญจมบพิตรยังอยู่กลางท้องทุ่ง ดังนั้นเมื่อบิณฑบาตไม่ได้จึงนำข้าวหลวงไปถวายค่ะ

ต่อมาค่ะเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริที่จะสร้างพระราชมณเฑียรสถานขึ้นใหม่เป็นที่ประทับ ในชั้นต้นจึงโปรดให้รื้อย้ายพระตำหนักที่ประทับของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี ไปปลูกสร้างเป็นหอเรียนวิทยาศาสตร์ ที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงหรือโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยในปัจจุบัน คงเหลือเพียงท้องพระโรงหน้า ซึ่งโปรดให้สร้างถวาย สมเด็จพระบรมราชชนนี เมื่อตอนต้นรัชกาลเพียงองค์เดียว และได้โปรดให้สร้างพระตำหนักอุดมวนาภรณ์หรือที่ได้พระราชทานนามให้ใหม่ในเวลาต่อมาว่า พระตำหนักเมขลารูจี ขึ้นเป็นองค์แรก พร้อมกันนั้นก็ได้โปรดให้สร้างพระราชมณเฑียรสถานขึ้นแทนที่พระตำหนักเดิม เป็นหมู่พระที่นั่ง 3 องค์ พร้อมด้วยพระราชอุทยานซึ่งจัดเป็นสวนรูปแบบเรขาคณิต ตามแบบสถาปัตยกรรมอิตาเลี่ยนสมัย “เรอเนสซองต์” แต่เรียกกันว่า “สวนโรมัน” รวมทั้งได้โปรดให้ย้าย “ดุสิตธานี” เมืองจำลอง ที่ทรงมีเจตนาสร้างขึ้นเพื่อฝึกหัดสั่งสอนวิธีการปกครองท้องถิ่นในระดับเทศบาล ตามรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ณ พระราชวังดุสิตมายังพระราชวังพญาไทเป็นการถาวรด้วยค่ะ


บรรยากาศสวนโรมัน


พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินมาประทับที่พระราชวังพญาไทเกือบจะเป็นการถาวรตลอดระยะเวลา 6 ปีต่อมา จนกระทั่งต้นเดือนตุลาคม  พ.ศ. 2468 ได้เสด็จแปรพระราชฐานชั่วคราวไปประทับในพระบรมมหาราชวัง เพื่อประกอบพระราชพิธีจองเปรียง สะเดาะพระเคราะห์ตามพิธีพราหมณ์ ประจวบกับใกล้จะถึงวันพระราชพิธีฉัตรมงคล และพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงพระครรภ์ใกล้จะครบถึงวันจะมีพระพระประสูติกาล จึงเสด็จเข้าประทับในพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน
อันเป็นพระมหามณเฑียรองค์สำคัญ เพื่อความเป็นสิริมงคล แต่เหตุการณ์อันไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกิดพระอาการประชวรขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว จนถึงกับสวรรคตลง  เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2468 เวลา 1.45 น. ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา ภายหลังพระประสูติกาลของ พระราชธิดาคือสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีเพียง 1 วัน (ซึ่งปัจจุบันพระองค์จะมีพระชนมายุ 85 พรรษาในปีนี้ค่ะ )

แต่! ช้าก่อนค่ะ ที่นี่มิได้เป็นเพียงพระราชวังที่ประทับธรรมดาเท่านั้นนะคะ แต่เรื่องราวต่อจากนี้จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาของที่นี่ค่ะ ซึ่งเริ่มจากในตอนปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระราชปรารภเป็นการส่วนพระองค์กับพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงกำแพงเพชรอัครโยธิน ผู้บัญชาการกรมรถไฟฟ้าหลวงในเวลานั้นว่า พระราชวังพญาไทเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่โตมีบริเวณกว้างขวางมากต้องสิ้นเปลืองพระราชทรัพย์จำนวนมากในการบำรุงรักษา หากปรับปรุงเป็นโรงแรมชั้นหนึ่ง เพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้แก่ชาวต่างประเทศที่เข้ามาเยี่ยมเยียนและติดต่อธุรกิจในประเทศสยามแล้ว ค่าบำรุงรักษาก็คงจะรวมอยู่ในงบของโรงแรมได้  แต่ยังมิทันได้ดำเนินการอย่างใดก็ประจวบกับทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคตเสียก่อนค่ะ


เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  ได้ทรงรับรัชทายาทเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบสนององค์สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชแล้ว  จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟฟ้าหลวงปรับปรุงพระราชวังพญาไท เป็นโรงแรมชั้นหนึ่งชื่อ  “Phya Thai Palace Hotel” และได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิด “โฮเต็ลพญาไท” เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2468


โรงแรมพญาไทในอดีต



แขกผู้มีเกียรติของโรงแรมค่ะ


โฮเต็ลพญาไทจัดเป็นโรงแรมที่หรูหราและได้รับการยกย่องว่า ยอดเยี่ยมที่สุดในภาคพื้นตะวันออกไกล มีวงดนตรีสากลชนิดออเคสตร้า 20 คน  ใช้นักดนตรีจากกองดุริยางค์ทหารบก บรรเลงให้เต้นรำในวันสุดสัปดาห์ สลับกับคณะโชว์นักร้อง นักแสดงจากยุโรป และเมื่อหลวงสุขุมนัยประดิษฐ์ จบการศึกษาจากสหรัฐอเมริกากลับมา  ก็ได้นำวงดนตรีแจ็สมาบรรเลงที่โฮเต็ลแห่งนี้ ซึ่งโฮเต็ลพญาไทได้รับเกียรติ เป็นสถานที่จัดประชุมก่อตั้งสโมสรโรตารี่กรุงเทพฯ ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2473 และในปีเดียวกันนั้นเองค่ะ พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม ได้ทรงเปิดการส่งวิทยุกระจายเสียงจาก “สถานีวิทยุกระจายเสียงกรุงเทพฯ ที่พญาไท” ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ที่ พระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถาน ในบริเวณโฮเต็ลพญาไท โดยอัญเชิญกระแสพระราชดำรัชตอบเนื่องในการพระราชพิธีฉัตรมงคลของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว      โดยถ่ายทอดจากท้องพระโรงพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย มาตามสายแล้วเข้าเครื่องส่งกระจายเสียงสู่พสกนิกรเป็นปฐมฤกษ์ เมื่อ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473 นับเป็นครั้งแรกที่ได้มีการถ่ายถอดเสียงทางวิทยุในประเทศไทย

ต่อมาภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน พ.ศ. 2475 โฮเต็ลพญาไทประสบภาวะขาดทุนอย่างมาก ประกอบกับกระทรวงกลาโหมต้องการใช้สถานที่เป็น ที่ตั้งกองเสนารักษ์ คณะกรรมการราษฎรหรือคณะรัฐมนตรีในขณะนั้น จึงได้มีมติให้เลิกกิจการโฮเต็ลพญาไท พร้อมกับให้ย้ายสถานีวิทยุกระจายเสียงกรุงเทพฯ ไปตั้งรวมกับสถานีเครื่องส่งโทรเลขที่ศาลาแดงค่ะ

เรื่องราวยาวนานขนาดนี้จากโรงนาในสมัยรัชกาลที่ 5มาสู่การสร้างพระตำหนัก และการเสด็จพระราชดำเนินมาประทับของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จนกระทั่งเปลี่ยนแปลงสู่การเป็นโรงแรมหรูในสมัยรัชกาลที่ 7 และต่อจากนี้กำลังจะเข้าสู่ยุคปัจจุบัน อันเป็นที่มาของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้านี่เองค่ะ เพราะเมื่อกองเสนารักษ์จังหวัดทหารบกกรุงเทพฯ ได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่พระราชวังพญาไท เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2475 และต่อมาในปี พ.ศ. 2489 ก็ได้มีการ พัฒนากองเสนารักษ์มณฑลทหารบก ที่ 1 เป็นโรงพยาบาลทหารบกโดยใช้เขต พระราชฐานทั้งหมด และเนื่องจากพระราชวังพญาไทเคยเป็น พระราชฐานที่ประทับใน
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติของพระองค์ท่าน กองทัพบกจึงได้ขอพระราชทานนาม โรงพยาบาลทหารบกใหม่ว่า โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งได้ประกอบพิธีเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2495 อันเป็นวันคล้ายวันเสด็จสวรรคต ต่อมาในปี พ.ศ. 2512 โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ได้ย้ายที่ทำการไปอยู่ ณ อาคารหลังใหม่ ในบริเวณใกล้เคียงกับพระราชวังพญาไท และใช้พระราชวังเป็นที่ทำการของกรมแพทย์ทหารบกเป็นเวลา 20 ปี จนกระทั่ง พ.ศ. 2532 กรมแพทย์ทหารบกได้ย้ายได้ย้ายไปยังอาคารที่ทำการใหม่ ณ บริเวณถนนพญาไท เขตราชเทวี โดยมีศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า ย้ายที่ทำการมาอยู่แทนในพระราชวังเป็นการชั่วคราว โดยมีโครงการที่จะย้ายออกเมื่อสถานที่แห่งใหม่พร้อม เช่นกัน ซึ่งหลังจากนั้นพระราชวังพญาไทจึงจะจัดเป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมดังเช่นในปัจจุบันนี้ค่ะ(กรมศิลปากร ได้ประกาศขึ้นทะเบียนพระราชวังพญาไท เป็นโบราณสถานที่สำคัญของชาติ ตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2522 ดังปรากฏในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 96 ตอนที่ 15 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2522)





เล่าที่มายาวขนาดนี้ อย่าได้คิดว่าจะจบแล้วนะคะ เรายังไม่ได้ไปร่าเริงในวังกันเลย ถ้าหากจะเข้าวังแล้วติดตามต่อในตอนที่ 2ได้เลยค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น