ช่วงนี้ตามกระแสค่ะ สืบเนื่องมาจากกระแสละครวนิดามาแรงมากในช่วงนี้
ดังนั้นวันนี้เราจึงขอตามกระแสไปเป็นผู้ดีกันบ้าง
แต่จะให้ไปเฉิดฉายยังบ้านมหศักดิ์หรือคะ นั่นยังไม่สมฐานะค่ะ
วันนี้เราจึงขอนำเสนอทางเลือกใหม่ นั่นคือ... การไปเป็นชาววังกันค่ะ
แต่ ! ช้าก่อน
พระราชวังนั้นมีหลายหลาก เราจะเลือกวังใดกันดีคะ?
ถ้าคุณยังคิดไม่ออก เรามีทางเลือกมานำเสนออีกค่ะ
ลองไปสัมผัสวังเล็กๆ น่ารักๆ อย่างวังพญาไทกันดีไหมคะ?
ความจริงแล้ว ที่ชวนไปวังพญาไทในครั้งนี้นะคะ เนื่องมาจากว่า เมื่อครั้งสมัยยังวัยเยาว์นักในวันหนึ่งไปเจอสถานที่น่าสนใจอย่างวังพญาไทในหนังสือเข้า เลยอยากจะไปร่าเริงในวังบ้าง แต่ติดปัญหาอยู่ที่ผู้คนรอบข้างไม่มีใครสนใจจะไปเป็นชาววังด้วยกันเลยค่ะ
ดังนั้นวังพญาไทจึงได้แต่ยังคงเก็บไว้อยู่ในใจเรื่อยมา จนกระทั่งตอนนี้ค่ะ 6 ปีต่อมา เมื่อมีโอกาสแล้ว อย่าได้รอช้า ไปเริงร่าในวังกันดีกว่าค่ะ
จุดแรกที่เราจะเดินทางมายังวังแห่งนี้ได้ ขอแนะนำว่ามาตั้งหลักกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิกันก่อน แล้วจึงมายังถนนราชวิถีพระราชวังจะอยู่ติดกับโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเลยค่ะ
มุมมองจากฝั่งตรงข้ามค่ะ
เข้ามาภายในเราจะพบว่าวังพญาไทนั้นมีถนนเชื่อมต่อกับส่วนโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าค่ะ เห็นแล้วค่ะ เราเห็นแล้วค่ะพระราชวัง แต่ทางเข้าต้องดูกันดีๆค่ะ เพราะว่าอาจเกิดเหตุการณ์ที่รู้ตัวอีกทีทำไมอยู่ในโรงพยาบาลไม่ใช่วังได้ค่ะ
อาคารนี้เด่นเป็นสง่า มีนามว่าพระที่นั่งพิมานจักรีค่ะ ในส่วนนี้เป็นส่วนต้อนรับและเป็นส่วนแรกที่เราจะเข้าชมในพระราชวังกันค่ะ
พระราชวังพญาไทประกอบไปด้วยหมู่พระที่นั่ง 5 องค์ ที่มีชื่อคล้องจองกัน คือ พระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถาน พระที่นั่งพิมานจักรี พระที่นั่งศรีสุทธนิวาส พระที่นั่งเทวราชสภารมย์ และพระที่นั่งอุดมวนาภรณ์
แผนผังประกอบ
พระราชวังพญาไทนี้มีประวัติยาวนานไม่ธรรมดานะคะ ซึ่งแต่เดิมประมาณ 100 ปีที่แล้ว ถนนราชวิถีเป็นเพียงถนนสายสั้นๆ เริ่มต้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยามาสุดที่ด้านหลังพระราชวังสวนดุสิต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานชื่อถนนสายนี้ว่า ถนนซางฮี้ (ปัจจุบันมักเรียกว่า ซังฮี้) อันเป็นคำมงคลของจีน มีความหมายว่า “ยินดีอย่างยิ่ง”และต่อมาได้รับพระราชทานชื่อใหม่ว่า ถนนราชวิถี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ปลายถนน ซางฮี้ ตอนตัดใหม่ๆ นั้นเป็นสวนผักและไร่นา มีคลองสามเสนไหลผ่าน พื้นที่ยังโล่ง กว้าง อากาศโปร่งสบาย เป็นที่ต้องพระราชอัธยาศัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างมาก ได้โปรดเกล้าฯ ให้ซื้อที่ดินประมาณ 100 ไร่ เศษ จากชาวนาชาวสวนบริเวณนั้น เพื่อใช้ทดลองปลูกธัญพืช และเป็นที่ประทับพักผ่อนพระราชอิริยาบท โรงเรือนหลังแรกที่โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ณ ที่นี้ คือ โรง และได้พระราชทานนามว่า โรงนาหลวงคลองพญาไท พร้อมกับโปรดเกล้าให้ย้ายพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ที่เคยประกอบที่ทุ่งพระเมรุ (ท้องสนามหลวง) มาจัดที่ทุ่งพญาไทค่ะ
และเนื่องจากการสูญเสียสมเด็จพระบรมราชสวามี เป็นเหตุให้สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี ทรงพระประชวร พระอนามัยทรุดโทรมลง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงวิตกห่วงใย ได้กราบบังคมทูลแนะนำให้แปรพระราชฐาน จากในพระบรมมหาราชวังมาประทับที่วังพญาไทเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมให้ทรงพระสำราญและเพื่อความสะดวกสำหรับแพทย์ และพระประยุรญาติจะได้มีโอกาสเฝ้าเยี่ยม และถวายการรักษาโดยง่าย
พระตำหนักพญาไท เมื่อครั้งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระพันปีหลวงค่ะ
ซึ่งสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาประทับที่พระตำหนักพญาไท พร้อมด้วยพระประยูรญาติที่ใกล้ชิดตลอดจนพระชนมายุ เป็นเวลาเกือบ 10 ปี พระราชสำนักสมเด็จพระพันปีหลวง ณ วังพญาไท ในสมัยนั้นอุ่นหนาฝาคั่งไปด้วยผู้คนทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายใน กล่าวกันว่ามีไม่น้อยกว่า 500 คน บรรดาผู้ที่สังกัดอยู่ใต้ร่มพระบารมีสมเด็จพระพันปีหลวงไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์ ข้าหลวง โขลนจำ ข้าราชบริพารน้อยใหญ่ ทุกคนได้รับพระราชทานเบี้ยหวัด เงินเดือน เงินปี ที่อยู่ อย่างอุดมสมบูรณ์ ตามสมควรแก่ฐานะโดยทั่วถึง ครั้นเมื่อ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี เสด็จสวรรคตใน พ.ศ. 2462 แล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงพระราชดำริที่จะสร้างพระราชมณเฑียรสถานขึ้นใหม่ เพื่อเป็นที่ประทับในวังพญาไท และได้โปรดเกล้าฯ ให้ยกวังพญาไท ขึ้นเป็นพระราชวังพญาไท เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบรมชนกนาถและพระบรมราชชนนี
บ้านพักสำหรับข้าราชการฝ่ายใน
สมเด็จพระพันปีหลวงทรงดำนา ณ ทุ่งพญาไท
(ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)
จากภาพสมเด็จพระพันปีหลวงทรงประทับนั่งอยู่ ไม่ใช่คนที่เดินนะคะ เพราะในนามีปลิงมาก และในสมัยนั้น ก็มีการปลูกข้าวเช่นเดียวกับบริเวณวังสวนจิตรลดาในปัจจุบันนี้ค่ะ ข้าวจากวังสวนจิตรลดานั้นไว้เพื่อส่งไปช่วยผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่างๆ ส่วนข้าวในวังพญาไทนั้นไว้เพื่อส่งไปยังวัดเบญจมบพิตรค่ะ ถูกแล้วค่ะ วัดเบญจมบพิตรแน่นอน เพราะในสมัยนั้นวัดเบญจมบพิตรยังอยู่กลางท้องทุ่ง ดังนั้นเมื่อบิณฑบาตไม่ได้จึงนำข้าวหลวงไปถวายค่ะ
ต่อมาค่ะเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริที่จะสร้างพระราชมณเฑียรสถานขึ้นใหม่เป็นที่ประทับ ในชั้นต้นจึงโปรดให้รื้อย้ายพระตำหนักที่ประทับของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี ไปปลูกสร้างเป็นหอเรียนวิทยาศาสตร์ ที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงหรือโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยในปัจจุบัน คงเหลือเพียงท้องพระโรงหน้า ซึ่งโปรดให้สร้างถวาย สมเด็จพระบรมราชชนนี เมื่อตอนต้นรัชกาลเพียงองค์เดียว และได้โปรดให้สร้างพระตำหนักอุดมวนาภรณ์หรือที่ได้พระราชทานนามให้ใหม่ในเวลาต่อมาว่า พระตำหนักเมขลารูจี ขึ้นเป็นองค์แรก พร้อมกันนั้นก็ได้โปรดให้สร้างพระราชมณเฑียรสถานขึ้นแทนที่พระตำหนักเดิม เป็นหมู่พระที่นั่ง 3 องค์ พร้อมด้วยพระราชอุทยานซึ่งจัดเป็นสวนรูปแบบเรขาคณิต ตามแบบสถาปัตยกรรมอิตาเลี่ยนสมัย “เรอเนสซองต์” แต่เรียกกันว่า “สวนโรมัน” รวมทั้งได้โปรดให้ย้าย “ดุสิตธานี” เมืองจำลอง ที่ทรงมีเจตนาสร้างขึ้นเพื่อฝึกหัดสั่งสอนวิธีการปกครองท้องถิ่นในระดับเทศบาล ตามรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ณ พระราชวังดุสิตมายังพระราชวังพญาไทเป็นการถาวรด้วยค่ะ
บรรยากาศสวนโรมัน
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินมาประทับที่พระราชวังพญาไทเกือบจะเป็นการถาวรตลอดระยะเวลา 6 ปีต่อมา จนกระทั่งต้นเดือนตุลาคม พ.ศ. 2468 ได้เสด็จแปรพระราชฐานชั่วคราวไปประทับในพระบรมมหาราชวัง เพื่อประกอบพระราชพิธีจองเปรียง สะเดาะพระเคราะห์ตามพิธีพราหมณ์ ประจวบกับใกล้จะถึงวันพระราชพิธีฉัตรมงคล และพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงพระครรภ์ใกล้จะครบถึงวันจะมีพระพระประสูติกาล จึงเสด็จเข้าประทับในพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน
อันเป็นพระมหามณเฑียรองค์สำคัญ เพื่อความเป็นสิริมงคล แต่เหตุการณ์อันไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกิดพระอาการประชวรขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว จนถึงกับสวรรคตลง เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2468 เวลา 1.45 น. ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา ภายหลังพระประสูติกาลของ พระราชธิดาคือสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีเพียง 1 วัน (ซึ่งปัจจุบันพระองค์จะมีพระชนมายุ 85 พรรษาในปีนี้ค่ะ )
แต่! ช้าก่อนค่ะ ที่นี่มิได้เป็นเพียงพระราชวังที่ประทับธรรมดาเท่านั้นนะคะ แต่เรื่องราวต่อจากนี้จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาของที่นี่ค่ะ ซึ่งเริ่มจากในตอนปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระราชปรารภเป็นการส่วนพระองค์กับพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงกำแพงเพชรอัครโยธิน ผู้บัญชาการกรมรถไฟฟ้าหลวงในเวลานั้นว่า พระราชวังพญาไทเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่โตมีบริเวณกว้างขวางมากต้องสิ้นเปลืองพระราชทรัพย์จำนวนมากในการบำรุงรักษา หากปรับปรุงเป็นโรงแรมชั้นหนึ่ง เพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้แก่ชาวต่างประเทศที่เข้ามาเยี่ยมเยียนและติดต่อธุรกิจในประเทศสยามแล้ว ค่าบำรุงรักษาก็คงจะรวมอยู่ในงบของโรงแรมได้ แต่ยังมิทันได้ดำเนินการอย่างใดก็ประจวบกับทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคตเสียก่อนค่ะ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับรัชทายาทเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบสนององค์สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟฟ้าหลวงปรับปรุงพระราชวังพญาไท เป็นโรงแรมชั้นหนึ่งชื่อ “Phya Thai Palace Hotel” และได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิด “โฮเต็ลพญาไท” เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2468
โรงแรมพญาไทในอดีต
แขกผู้มีเกียรติของโรงแรมค่ะ
ต่อมาภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน พ.ศ. 2475 โฮเต็ลพญาไทประสบภาวะขาดทุนอย่างมาก ประกอบกับกระทรวงกลาโหมต้องการใช้สถานที่เป็น ที่ตั้งกองเสนารักษ์ คณะกรรมการราษฎรหรือคณะรัฐมนตรีในขณะนั้น จึงได้มีมติให้เลิกกิจการโฮเต็ลพญาไท พร้อมกับให้ย้ายสถานีวิทยุกระจายเสียงกรุงเทพฯ ไปตั้งรวมกับสถานีเครื่องส่งโทรเลขที่ศาลาแดงค่ะ
เรื่องราวยาวนานขนาดนี้จากโรงนาในสมัยรัชกาลที่ 5มาสู่การสร้างพระตำหนัก และการเสด็จพระราชดำเนินมาประทับของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จนกระทั่งเปลี่ยนแปลงสู่การเป็นโรงแรมหรูในสมัยรัชกาลที่ 7 และต่อจากนี้กำลังจะเข้าสู่ยุคปัจจุบัน อันเป็นที่มาของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้านี่เองค่ะ เพราะเมื่อกองเสนารักษ์จังหวัดทหารบกกรุงเทพฯ ได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่พระราชวังพญาไท เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2475 และต่อมาในปี พ.ศ. 2489 ก็ได้มีการ พัฒนากองเสนารักษ์มณฑลทหารบก ที่ 1 เป็นโรงพยาบาลทหารบกโดยใช้เขต พระราชฐานทั้งหมด และเนื่องจากพระราชวังพญาไทเคยเป็น พระราชฐานที่ประทับใน
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติของพระองค์ท่าน กองทัพบกจึงได้ขอพระราชทานนาม โรงพยาบาลทหารบกใหม่ว่า โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งได้ประกอบพิธีเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2495 อันเป็นวันคล้ายวันเสด็จสวรรคต ต่อมาในปี พ.ศ. 2512 โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ได้ย้ายที่ทำการไปอยู่ ณ อาคารหลังใหม่ ในบริเวณใกล้เคียงกับพระราชวังพญาไท และใช้พระราชวังเป็นที่ทำการของกรมแพทย์ทหารบกเป็นเวลา 20 ปี จนกระทั่ง พ.ศ. 2532 กรมแพทย์ทหารบกได้ย้ายได้ย้ายไปยังอาคารที่ทำการใหม่ ณ บริเวณถนนพญาไท เขตราชเทวี โดยมีศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า ย้ายที่ทำการมาอยู่แทนในพระราชวังเป็นการชั่วคราว โดยมีโครงการที่จะย้ายออกเมื่อสถานที่แห่งใหม่พร้อม เช่นกัน ซึ่งหลังจากนั้นพระราชวังพญาไทจึงจะจัดเป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมดังเช่นในปัจจุบันนี้ค่ะ(กรมศิลปากร ได้ประกาศขึ้นทะเบียนพระราชวังพญาไท เป็นโบราณสถานที่สำคัญของชาติ ตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2522 ดังปรากฏในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 96 ตอนที่ 15 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2522)
เล่าที่มายาวขนาดนี้ อย่าได้คิดว่าจะจบแล้วนะคะ เรายังไม่ได้ไปร่าเริงในวังกันเลย ถ้าหากจะเข้าวังแล้วติดตามต่อในตอนที่ 2ได้เลยค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น